สมาน ส.จาตุรงค์ มีชื่อจริงว่า สมาน ศรีประเทศ เกิดเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2511 ที่บ้านคลองสุขใจ ตำบลทุ่งทราย อำเภอคลองขลุง จังหวัดกำแพงเพชร เป็นบุตรชายคนที่ 2 ในจำนวน 4 คนของ นายจำนงค์ และนางละไม ศรีประเทศ สมานนับได้ว่าเป็นแชมป์โลกคนที่ 3 ของไทย ที่ไม่เคยชกมวยไทยมาก่อนเลย (2 คนก่อนหน้านี้คือ โผน กิ่งเพชร และ ชาติชาย เชี่ยวน้อย)
สมานเริ่มชกมวยเมื่อตอนอายุได้ 21 ปี นับว่าสูงอายุแล้วสำหรับผู้ที่จะเริ่มเป็นนักมวย โดยมีความชอบส่วนตัวและใฝ่ฝันว่าจะเป็นแชมป์โลกเหมือนนักมวยคนอื่นบ้าง จึงติดต่อไปทาง "อาว์สังข์" ม.ร.ว.นริศ กฤดากร บรรณาธิการนิตยสารมวยโลกรายสัปดาห์ ม.ร.ว.นริศ จึงได้แนะนำไปที่ สุชาติ ธีรวุฒิชูวงศ์ เจ้าของค่าย "ส.จาตุรงค์" เพื่อให้สมานขึ้นชกแบบมวยสากลเพียงอย่างเดียว สมานขึ้นชกอย่างสม่ำเสมอ จนได้ชิงแชมป์โลกกับนักชกอันตรายชาวเม็กซิกัน ริคาร์โด โลเปซ โดยแพ้น็อกเพียงแค่ยก 2 ชวดตำแหน่งแชมป์สตอร์วเวท สภามวยโลก (WBC) ไป ในปี พ.ศ. 2536 หลังจากนั้นสมานยังคงขึ้นชกอย่างสม่ำเสมอ นับได้ว่าเป็นนักมวยฝีมือดีอีกคนหนึ่ง แต่ไม่มีใครคาดคิดหรือคาดหวังเลยว่า สมานจะมีฝีมือดีพอที่จะเป็นแชมป์โลก
จนกระทั่งเมื่อสมานได้มีโอกาสชิงแชมป์โลกอีกครั้ง ในวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 กับนักชกอันตรายอีกคนหนึ่งชาวเม็กซิกัน ฮุมเบอร์โต้ "ชิกิต้า" กอนซาเลซ ที่เวทีมวยอิงเกิลวู้ด แคลิฟอร์เนีย ซึ่งก่อนไป ทุกคนต่างคาดไว้ว่า สมานต้องแพ้แน่ ๆ จะแพ้น็อกหรือแพ้คะแนนเท่านั้น เพราะกอนซาเลซถือเป็นนักมวยระดับโลก ที่หวังว่าสมานจะชนะ มีแค่เพียงกลุ่มผู้สนับสนุน คือ สหสมภพ ศรีสมวงศ์ กับ สุชาติ ธีรวุฒิชูวงศ์ เท่านั้น แต่ผลการชกกลับพลิกล็อกถล่มทลาย เมื่อสมานเป็นฝ่ายชนะกอนซาเลซไปได้ และเป็นการชนะน็อกอย่างเด็ดขาดด้วย ในยกที่ 7 ชนิดที่ตัวเองก็เจียนไปเจียนอยู่เหมือนกัน
สมาน ส.จาตุรงค์ จึงกลายเป็นแชมป์โลกคนที่ 21 ของไทย โดยได้แชมป์ในรุ่นไลท์ฟลายเวท 2 สถาบันทันที คือ ทั้งสภามวยโลก (WBC) และสหพันธ์มวยนานาชาติ (IBF) เป็นคนแรกของไทยและของทวีปเอเชีย ที่ครองแชมป์พร้อมกัน 2 สถาบันในคราวเดียวกัน ซึ่งไฟท์นี้นับว่าเป็นไฟท์สุดท้ายของชีวิตการชกของกอนซาเลซด้วย เพราะหลังการชกกอนซาเลซก็ได้ประกาศแขวนนวมไป เมื่อสมานกลับมาถึงเมืองไทยจึงกลายเป็นขวัญใจคนใหม่ของแฟนมวยชาวไทยไปโดยทันที สมานป้องกันตำแหน่งครั้งแรกกับ ยูอิชิ โฮโซโน นักชาวญี่ปุ่น โดยเป็นการป้องกันตำแหน่งทั้ง 2 สถาบัน โดยสมานก็เป็นฝ่ายชนะน็อกไปอย่างง่ายดายในยกที่ 4
หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2539 สมานก็สละตำแหน่งแชมป์ของสหพันธ์มวยนานาชาติ (IBF) โดยเลือกที่จะครองแต่ของสภามวยโลก (WBC) เท่านั้น สมานได้ป้องกันตำแหน่งหลายครั้ง อย่างต่อเนื่อง เช่น ชนะน็อก อันโตนีโอ เปเรซ นักชาวชาวเม็กซิกัน ยก 4 ชนะน็อก โจมา แกมบัว นักมวยชาวฟิลิปปินส์ ยก 7 ชนะ ชิโร ยาฮิโร นักมวยชาวญี่ปุ่น ถึง 2 ครั้ง โดยครั้งที่ 2 เป็นการชกที่ประเทศญี่ปุ่น ชนะคะแนน ลาดิสลาโอ วาสเควซ นักมวยชาวเม็กซิกัน เป็นต้น สมานมาเสียตำแหน่งในการป้องกันครั้งที่ 11 กับ โย ซัมชอย นักมวยชาวเกาหลีใต้ ถึงโซล ถิ่นของผู้ท้าชิงเอง โดยที่สมานโดนเอารัดเอาเปรียบด้วยวิธีการสารพัดต่าง ๆ ตลอดเวลา ทั้งโดนเอาหัวโขก, ตัดคะแนน เป็นต้น โดยที่กรรมการกลางจากสภามวยโลก ที่เป็นสักขีพยานในสถานที่ชกไม่ได้ช่วยอะไรเลย
เมื่อเสียแชมป์โลกไปแล้ว สมานยังคงมุ่งมั่นที่จะชิงแชมป์คืนมาได้ สมานยังคงชกอุ่นเครื่องต่อไปอีก 4 - 5 ครั้ง แต่จนแล้วจนรอด สมานก็ยังไม่มีโอกาสเสียที ประกอบกับผู้สนับสนุนคนสำคัญ สหสมภพ ศรีสมวงศ์ ก็เสียชีวิตไป และมีนักมวยรายใหม่ก้าวขึ้นมาด้วย โอกาสของสมานก็เท่ากับว่าปิดไปโดยปริยาย สมานได้มีโอกาสขึ้นชิงแชมป์โลกอีกครั้งกับโย ซัมชอย คู่ปรับเก่าในปี พ.ศ. 2544 ที่โซล ปรากฏว่าคราวนี้ สมานเป็นฝ่ายแพ้น็อคไปในยกที่ 7 หลังจากนี้ สมานยังคงชกมวยต่อไป โดยพบกับ เดวิด นครหลวงโปรโมชั่น นักมวยชาวไทยรุ่นน้อง แพ้ทีเคโอในที่ 4 เท่านั้นเอง จากนั้นสมานเดินทางไปชกที่ญี่ปุ่นอีกครั้ง แพ้น็อค โกกิ คาเมดะ นักมวยดาวรุ่งชาวญี่ปุ่นในยกที่ 3 สมานจึงแขวนนวมไปในที่สุด
ชีวิตส่วนตัว สมาน จบการศึกษาทางโลกจากโรงเรียนศึกษาผู้ใหญ่ วัดโพธิ์ ในทางธรรมบวชเรียน จบเปรียญธรรม 3 ประโยค สามารถเรียกคำนำหน้านามได้ว่า "มหา" มีกิจการส่วนตัวคือ ขายข้าวมันไก่ ซึ่งเป็นกิจการดั้งเดิมของสมานที่มีผู้แนะนำให้ขายเป็นอาชีพเสริมตั้งแต่ยังไม่ได้เป็นแชมป์โลก ที่หมู่บ้านบ้านฟ้าลากูน รังสิต-คลอง 2 จังหวัดปทุมธานี สมานเป็นคนชอบเล่นเครื่องเสียง สถานภาพปัจจุบันสมรสแล้ว โดยภรรยาชื่อ "ปาริชาติ" ชื่อเล่น ติ๊ก มีทั้งคู่มีลูกสาวกันเพียงคนเดียว